3 แนวทางการใช้ Long Tail Marketing เพื่อ E-Commerce

3 แนวทางการใช้ Long Tail Marketing เพื่อ E-Commerce

Chris Anderson บรรณาธิการนิตยสาร WIRED ได้มีการเขียนถึง Long Tail Marketing หรือ ทฤษฎีหางยาว นี้ตั้งแต่ปี 2004 ซึ่งแนวคิดนี้มีอยู่ว่า สินค้าที่ขายไม่ดี 80% ของร้าน เมื่อนำยอดขายมาร่วมกันจะมีโอกาสสร้างยอดขายมากกว่าสินค้าขายดี 20% ของร้าน โดยแนวคิดนี้สามารถใช้งานได้จริงในการซื้อขายบนโลกออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ เพราะพื้นที่ในการแสดงผลสินค้าบนโลกออนไลน์นั้นไม่มีขีดจำกัด ไม่เหมือนกับการขายผ่านหน้าร้านออนกราวน์ที่มีพื้นที่จำกัด ทำให้ไม่สามารวางขายสินค้าทั้งหมดได้ แต่ต้องเลือกเฉพาะสินค้าขายดี 20% ไปวางขาย

สำหรับใครที่อยากฟังเป็นคลิปเสียงสามารถฟังได้ที่ Youtube หรือ Soundcloud
Long tail Markeing

ตัวอย่างการนำทฤษฎีหางยาวมาใช้

กรณีศึกษา: Netflix

Netflix มีรายการและภาพยนต์มากมาย เพื่อที่จะได้ตอบสนองกล่มผู้ชมที่มีความต้องการเฉพาะด้าน ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้วสามารถสร้างรายได้และกำไรให้มากกว่าภาพยนต์หรือรายการยอดนิยม

กรณีศึกษา: Amazon

เว็บไซต์ Amazon สามารถขายหนังสือที่ไม่ได้แนะนำอยู่บนหน้าเว็บไซต์ได้ถึง 40% ของรายได้ ซึ่งนั่นหมายถึงว่ายังมีกลุ่มคนที่ต้องการหนังสือ ที่ไม่ได้อยู่ในหน้าแนะนำอีกจำนวนมาก

กรณีศึกษา: สำนักพิมพ์พ.ศ.พัฒา

สำนักพิมพ์พ.ศ.พัฒนา มีการขายหนังสือทั้งออนไลน์และออนกราวน์ ซึ่งการขายออนกราวน์จะขายผ่านร้านหนังสือต่าง ๆ ซึ่งมีพื้นที่จำกัด ทำให้วางขายได้เฉพาะหนังสือขายดี แต่เมื่อเปิดเว็บไซต์ ecommerce ทางสำนักพิมพ์สามารถนำหนังสือที่เป็น Dead Stock ของออนกราวน์ขึ้นมาขายบนออนไลน์ได้ ซึ่งหนังสือเหล่านั้นก็ยังสามารถสร้างยอดขายให้กับสำนักพิมพ์ได้

3 แนวทางการนำ Long Tail Marketing มาปรับใช้เพื่อ E-Commerce

1. ลงข้อมูลสินค้าให้ครบทุกสินค้า และมีสินค้าให้หลากหลาย

จากกรณีศึกษา เราจะเห็นว่า Amazon สามารถสร้างรายได้กว่า 40% จากหนังสือที่ไม่ได้อยู่ในลิสหนังสือแนะนำที่หน้าเว็บไซต์ ดังนั้นถ้า Amazon เลือกที่จะขายเฉพาะหนังสือในหน้าแนะนำ รายได้ของ Amazon จะหายไปถึง 40% ในขณะเดียวกัน หนังสือจัดเป็น Dead Stock ในร้านหนังสือ กลับกลายมาเป็นยอดขายบนโลกออนไลน์ให้กับสำนักพิมพ์พ.ศ.พัฒนาได้ ดังนั้นเราเองจึงไม่ควรที่จะเลือกขายเฉพาะสินค้าที่ขายดีเช่นเดียวกัน

2. ทำ SEO ให้กับสินค้าทุกชิ้น ไม่เฉพาะสินค้าที่ขายดี

นอกจากการลงสินค้าให้หลากหลาย เพื่อให้ตอบโจย์กับลูกค้าหลายกลุ่มแล้ว เรายังต้องมีการทำ SEO ให้กับสินค้า เพื่อให้สินค้าของเราทุกชิ้นมีโอกาสถูกมองเห็นโดยผู้ที่สนใจ โดยการเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับสินค้านั้นจะต้องเลือกที่เฉพาะเจาะจงกับสินค้าของเรา ไม่กว้าง หรือเป็นคำทั่วไปเกินไป และสินค้าแต่ละชิ้นควรจะมี Keyword ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสินค้านั้น ๆ ไม่ซ้ำกัน

3. ลงโฆษณาสินค้าที่ขายไม่ดีบ้าง

ปกติแล้วเรามักจะลงโฆษณาในสินค้าที่เกิดยอดขาย แต่หากเราลองลงโฆษณาในสินค้าที่ขายไม่ดี เพื่อเพิ่มโอกาสการมองเห็นก็น่าจะเป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจ แต่ทั้งนี้ให้เลือกใช้โฆษณาแบบ Cost Per Click (CPC) เพื่อให้เราเสียงบประมาณการโฆษณาไปก็ต่อเมื่อมีคนสนใจสินค้า และคลิกเข้ามาชมสินค้าของเราจริง ๆ นอกจากนี้การใช้โฆษณาในรูปแบบ Catalog Sale ที่เราสามารถส่งข้อมูลสินค้าทั้งหมดให้ผู้ให้บริการโฆษณาเลือกสินค้าไปแสดงผลเองได้ อย่างเช่น Google Shopping Ads ก็ช่วยให้เราสามารถนำเสนอสินค้าของเราได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าอีกด้วย

Google Shopping Ads จะเลือกสินค้าจากลิสสินค้าที่เราส่งเข้าไป ไปแสดงผลให้กับผู้ที่ค้นหาด้วย Keywords ที่ตรงกับสินค้านั้น ๆ และยังมีการเลือกแสดงผลเฉพาะคนที่มีแนวโน้มจะสั่งซื้อสินค้าอีกด้วย

จะเห็นว่าการนำทฤษฎีหางยาวไปใช้งานไม่ได้ยากเกินไปเลยจริงไหมคะ ยังไงลองนำทฤษฎีนี้ไปปรับใช้กับธุรกิจออนไลน์ของคุณกันดูค่ะ แล้วบทความต่อ ๆ ไป เราจะนำเสนอเรื่องอะไรกันอีกนั้นก็รอติดตามกันได้ที่ blog.lnwshop.com นะคะ

——————————–

บทความอ้างอิง