ข้อมูลของ HubSpot ระบุว่าผู้ใช้ Search Engine มากกว่า 75% ไม่เคยค้นหาข้อมูลในหน้าอื่น ๆ นอกจากหน้าแรกของผลลัพธ์การค้นหา นั่นจึงส่งผลให้การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ธุรกิจของเราติดหน้าแรกยังเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งบทความนี้จะเล่าเกี่ยวกับ แนวทางปฎิบัติ 9 ข้อ ดันอันดับ SEO ให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณให้ติดหน้าแรกของผลลัพธ์การค้นหา
สำหรับใครที่อยากฟังเป็นคลิปเสียงสามารถฟังได้ที่ Youtube หรือ Soundcloud
เนื้อหาในบทความ
แนวทางสำหรับใช้ดันอันดับ SEO
1. นำเสนอเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา
ไม่ว่าเราจะอยากให้ผู้ค้นหา มีการค้นหาด้วยคำค้นหาอะไรแล้วเจอเรา เราต้องเข้าใจให้ได้ก่อนว่า เพราะอะไร ผู้ค้นหาจึงเลือกทีจะค้นหาด้วย Keywords เหล่านี้ เพื่อที่เราจะได้เลือกนำเสนอเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา
ยกตัวอย่างเช่น มีผู้ค้นหา ค้นหาวิธีการทำคุ้กกี้ข้าวโอ๊ต ความต้องการของผู้ค้นหาคือ การหาวิธีทำ ดังนั้นผลลัพธ์การค้นหาที่ควรจะนำเสนอ จึงควรจะเป็นวิดีโอแนะนำวิธีการทำคุ้กกี้ข้าวโอ๊ต หรือ บทความเกี่ยวกับวิธีการทำคุ้กกี้ข้าวโอ๊ต ไม่ใช่หน้าโฆษณาคุ้กกี้ข้าวโอ๊ต
ความต้องการในการค้นหามี 4 รูปแบบดังนี้
- Informational สำหรับการค้นหาในรูปแบบนี้ จะมีเจตนาหรือความการที่อยากได้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง โดยคำค้นหาอาจจะมาจากประโยคง่าย ๆ ว่า “สภาพอากาศวันนี้เป็นอย่างไร” หรือคำถามที่ซับซ้อนอย่าง “กลยุทธ์ SEO ที่ดีที่สุด”
- Navigational การนำทางในทีนี้ไม่ใช่เฉพาะการบอกเส้นทางการเดินทาง แต่จะหมายถึงการนำไปสู่การกระทำบางอย่างได้เช่นกัน เช่น “การเข้าสู่ระบบ Facebook” เป็นต้น
- Commercial ความต้องการที่อยู่เบื้องหลังการค้นหาเป็นเชิงพาณิชย์จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้กําลังมองหาผลิตภัณฑ์เฉพาะ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย ตัวอย่างการค้นหา เช่น “เครื่องมือ SEO ที่ดีที่สุด” และ “กล้อง DSLR ที่ดีที่สุด” คือการค้นหาเชิงพาณิชย์ทั้งหมด
- Transactional การค้นหารูปแบบนี้จะมากจากเจตนาหรือความต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือบริการที่ค้นหา คำค้นหา ก็มักจะมาพร้อมกับคำว่า “ซื้อ” เช่น “ซื้อ Nikon d500”, “ซื้อ Macbook Air” เป็นต้น
ซึ่งในการลงมือทำจริง เราอาจจะมีการแบ่งกลุ่มลูกค้า ในแต่ละรูปแบบความต้องการของการค้นหา และสร้างเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม เพื่อให้เนื้อหาของเราตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนั้น ๆ ที่สุด
2. ตั้งชื่อ Title และ Description ให้น่าสนใจ
Title และ Description เป็นข้อมูลสองส่วนที่ถูกแสดงผลในผลลัพธ์การค้นหา (SERPs) โดยข้อมูลทั้งสองส่วนนี้มีส่วนในการดึงดูดให้ผู้ใช้เลือกทีจะอ่าน หรือเลื่อนผ่านเว็บไซต์ธุรกิจของเรา
Title Tags
ในการแสดงผลบนผลลัพธ์การค้นหา Title จะแสดงผลอยู่ที่ประมาณ 50-60 ตัวอักษร ดังนั้นเราจึงไม่ควรเขียน Title ยาวเกินไป เพื่อป้องกันการตัดคำที่ไม่สมบูรณ์
แนวทางการเขียน Title ที่ดี
- มี Keywords ที่ต้องการ อยู่ใน Title
- เขียนให้ตรงกับจุดประสงค์ของหน้าเนื้อหานั้น ๆ
- หลีกเลี่ยงการสร้าง Title ที่ซ้ำกัน
- หลีกเลี่ยงการจงใจใส่ Keywords หลาย ๆ คำ ลงไปใน Title
- เขียนให้สั้น กระชับ และสื่อใจความที่ต้องการ
Description
Description จะแสดงผลในผลลัพธ์การค้นหา เป็นส่วนที่ใช้สรุปข้อมูลสั้น ๆ ของหน้าเว็บนั้น ๆ เพื่อบอกว่าหน้าเว็บนั้น ๆ มีเนื้อหาอะไร โดย Description นี้ไม่มีผลต่ออันดับในผลลัพธ์การค้นหาโดยตรง แต่มีผลต่อการโน้มน้าวให้ผู้ค้นหาคลิกเข้ามายังหน้าเว็บของเรา
แนวทางการเขียน Description ที่ดี
- ใช้ Description ที่แตกต่างกันในแต่ละหน้าเว็บ ไม่ใช้ซ้ำกัน
- มีข้อความที่เน้นบ่งบอกการกระทำ
- ใช้ Keywords ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
- เขียนให้ตรงกับจุดประสงค์ของหน้าเนื้อหานั้น ๆ และสอดคล้องกับ Title
- ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับหน้าเว็บนั้น ๆ
3. ปรับรูปภาพของคุณให้เหมาะสม
รูปภาพมีบทบาทสําคัญในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมในเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเรามี 4 ขั้นตอนในการปรับแต่งรูปภาพในหน้าเว็บมาแนะนำ ดังนี้
เลือกรูปแบบไฟล์ที่ดีที่สุด
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บมีส่วนสำคัญในการจัดอันดับผลลัพธ์การค้นหา ซึ่งหากเราเลือกรูปแบบไฟล์ที่เหมาะสมกับชนิดของภาพ จะช่วยทำให้หน้าเว็บของเราโหลดได้เร็วขึ้น
จากภาพตัวอย่างจะเห็นว่าขนาดไฟล์ของภาพที่เป็น JPEG จะมีขนาดที่เล็กกว่าขนาดของ PNGs อยู่ ดังนั้นหากเราจะใส่ภาพที่เป็นรูปถ่ายในหน้าเว็บของเราการใช้ JPEG ก็จะส่งผลดีกว่า PNGs แต่ในขณะเดียวกัน หากเราจะใส่ภาพที่เป็นภาพวาดหรือลายเส้น การใช้ PNGs จะให้คุณภาพที่ดีกว่า JPEG
นอกจากไฟล์ JPEG และ PNGs แล้ว WebP ก็เป็นอีกรูปแบบไฟล์ภาพที่เหมาะสำหรับการใช้งานกับเว็บไซต์ เพราะทั้งมีขนาดที่เล็ก และยังให้รายละเอียดที่ชัดเจน โดย WebP จะมีขนาดเล็กกว่า PNGs อยู่ 26% และเล็กกวา JPEG ประมาณ 25-34% ที่ความละเอียดเท่ากัน
บีบอัดรูปภาพของคุณ
นอกจากการเลือกรูปแบบของไฟล์ให้เหมาะสมแล้ว การบีบอัดไฟล์ภาพให้มีขนาดไฟล์ที่เล็กลงก็สามารถช่วยให้เว็บซต์โหลดได้รวดเร็วเช่นเดียวกัน ซึ่งเรามีเครื่องมือฟรีที่จะช่วยลดขนาดไฟล์ภาพของคุณมาแนะนำได้แก่
- TinyPNG ใช้สำหรับการบีบอัดไฟล์ภาพ JPEG และ PNGs ให้มีขนาดไฟล์ที่เล็กลง
- ImageOptim ใช้สำหรับการบีบอัดไฟล์ JPEG ให้มีขนาดเล็กลง สำหรับผู้ใช้ MAC
- ShortPixel เป็น WordPress Plugin ที่ช่วยในการบีบอัดรูปบนเวิร์ดเพลสของคุณให้เล็กลงได้ 100 รูป/เดือน
ใส่ข้อความใน Alt Text สําหรับรูป
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีของ Google ในตอนนี้ จะพอที่จะเข้าใจได้ว่ารูปภาพที่เราใส่ไว้ในเว็บเป็นรูปภาพอะไร แต่การใส่คำอธิบายรูปภาพลงไปใน Alt Text ก็ช่วยทำให้ Google เข้าใจได้มากกว่า และยังเป็นสิ่งจำเป็นในการทำ SEO
ใช้เทคนิค Lazy-Load สำหรับรูปภาพ
เทคนิค Lazy-Load Image เป็นเทคนิคหนึ่งที่ใช้ในการทำให้หน้าเว็บไซต์โหลดได้รวดเร็วขึ้น โดยเทคนิคนี้จะเลือการโหลดข้อมูลที่สำคัญก่อน และเลื่อนลำดับการโหลดข้อมูลที่ไม่สำคัญออกไป คุณสามารถดูแนวทางการทำ Lazy Load Image ได้ที่นี่
4. ปรับแต่งความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed)
ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีการใช้เวลาในการโหลดนาน ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่ออันดับของเว็บในผลลัพธ์การค้นหา คุณจึงควรทำให้หน้าเว็บของคุณโหลดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถดำเนินการได้ดังนี้
- ใช้ไฟล์ภาพที่เหมาะสม และบีบอัดภาพ
- เปิดใช้งานการแคชของเบราว์เซอร์
- ลบปลั๊กอินที่ไม่จําเป็น
- ลดเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์
- ลดจํานวนการเปลี่ยนเส้นทาง
- ขยายไฟล์ CSS และ JavaScript ให้น้อยที่สุด
ทั้งนี้หากคุณต้องการตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ คุณสามารถใช้เครื่องมือฟรีอย่างเช่น Page Speed Insights ของ Google , GTMetrix หรือ Page Speed Insights ของ Semrush
5. ใช้การลิงก์ข้อมูลภายในเว็บไซต์
ลิงก์ภายในเว็บไซต์ธุรกิจของคุณมีส่วนในการช่วยสร้างแผนผังว่าเว็บไซต์ของคุณมีหน้าอะไรบ้าง และยังทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้มากยิ่งขึ้น
กรณีศึกษา: NinjaOutreach เพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บแบบ organic ได้สูงถึง 40%โดยการปรับลิงก์ภายในให้เหมาะสม
6. ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน (User Experience) บนเว็บไซต์ของคุณ
ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้เป็นอีกปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่งนอกจากความเร็วในการโหลดของเว็บแล้ว เรายังมีเคล็ดลับเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้มาฝากคุณ นั่นก็คือ
- ใช้หัวเรื่องย่อย การใช้หัวเรื่องย่อยอย่างเหมาะสม (H1, H2, H3) ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้นและทําให้ผู้อ่านสามารถอ่านเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น
- ทําให้เนื้อหาของคุณดึงดูดสายตา การใช้รูปภาพหรือวีดีโอประกอบกับเนื้อหาของคุณ จะช่วยให้เนื้อหาของคุณดึงดูดสายตาผู้ใช้งานได้มากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ Popups เพราะว่านอกจาก Popups จะส่งผลเสียในด้าน SEO แล้ว Popups ยังสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้งาน คุณจึงความหลีกเลี่ยงการใช้ Popups ที่ไม่จำเป็น
- มีการเว้นช่องว่างที่เหมาะสม การเพิ่มช่องว่างสีขาวในระหว่างย่อหน้า หรือ ขอบซ้ายและขวาสามารถทำให้ผู้ใช้สบายตา และเนื้อหาของคุณโดดเด่นขึ้นอีกด้วย
7. ใส่ Keywords ใน URL หน้าของคุณ
โครงสร้างของ URL ที่ดีจะต้องบอกได้ว่าปลายทางที่จะไปนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ดังนั้นการใส่ Keywords ที่ตรงกับเนื้อหาปลายทางใน URL เลย ก็จะส่งผลให้คนที่เห็นสามารถเข้าใจได้ง่าย โดยโครงสร้าง URL ที่ดีนั้นมีดังนี้
- ใช้ URL แบบสั้น จากการศึกษาโดย Backlinko พบว่า URL สั้น มีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพดีกว่า URL ยาวใน ผลลัพธ์การค้นหา (SERPs)
- ใช้ URL ที่มีคีย์เวิร์ด การใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมายใน URL เสมอเพื่อเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา
- เอาคําที่ไม่จําเป็นออก หากต้องการทําให้ URL ของคุณดูสะอาดและสั้นกระชับ ให้ลองลบคําที่ไม่จำเป็นออกไป
8. สร้าง Backlinks จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในอัลกอรึทึมของ Google เกียวกับการทำเว็บให้ติดอันดับอยู่บ่อย ๆ แต่ Google ก็ยังคงให้ความสำคัญการ Backlinks หากหน้าเว็บของคุณมี Backlinks จํานวนมากจะเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหา และยิ่งลิงก์ที่เข้ามามีที่มาจากเว็บที่น่าเชื่อถือ หรือมีลิงก์มาจากคำที่เกี่ยวข้องกับหน้าเว็บของคุณก็จะยิ่งส่งผลให้ Backlinks นั้นมีคุณภาพมากขึ้น และส่งผลต่อการจัดอันดับที่ดีกว่า Backlinks ทั่วไปอีกด้วย
9. เผยแพร่บทความแบบยาว
จาการศึกษาล่าสุดของ Semrush พบว่า บทความแบบยาว (โพสต์ที่มีคํามากกว่า 3,000 คํา) ได้รับการเข้าชมเพิ่มขึ้น 3 เท่า และมีการแชร์เพิ่มขึ้น 4 เท่าและมี Backlinks มากกว่าบทความที่มีความยาวเฉลี่ย 901-1200 คำ อยู่ถึง 3.5 เท่า
ดังนั้นหากคุณต้องการให้อันดับของเว็บไซต์ในผลลัพธ์การค้นหาอยู่ในลำดับที่ดี การสร้างบทความยาวจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
และทั้งหมดนี้ก็คือ 9 แนวทางปฏิบัติที่ดี ที่ควรทำเพื่อ ดันอันดับ SEO จาก Semrush ที่เราได้นำมาแนะนำกันนะคะ ถึงแม้ว่าปัจจัยที่ส่งผลต่ออันดับบนผลลัพธ์การค้นหาอาจจะมีมากกว่านี้ แต่คำแนะนำทั้ง 9 ข้อนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ และสามารถเริ่มต้นได้ไม่ยากเกินไป รวมถึงยังส่งผลกระทบได้มากต่ออันดับของเว็บไซต์ธุรกิจคุณ ดังนั้นยังไงลองนำไปปรับกันดูค่ะ และถ้าใครอยากอ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับการทำ Search Engine Marketing หรือกระทั่งการทำ Search Engine Optimization ก็ติดตามผ่าน Blog.LnwShop ของเราได้เลยนะคะ รับรองว่าจะมีมาเล่าให้ฟังกันเรื่อย ๆ แน่นอนค่ะ
ที่มาของบทความ - 9 SEO Best Practices That You Should Follow
Leave a Comment